เพิ่มพูนความรู้ 4.0

Last updated: 11 ก.ย. 2560  |  698 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เพิ่มพูนความรู้ 4.0

 

ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่า Thailand 4.0 มาจากไหน เพราะอ่านบทความในภาษาอังกฤษ ก็ไม่เคยผ่านตาว่ามีการพูดถึง 4.0 แบบที่ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์รุ่นน้องของดร.สมคิด เป็นคนคิด..จะพบก็แต่ Industry 4.0 ที่เยอรมันกำลังพัฒนาระบบการผลิตที่ใช้คอมช่วยตั้งแต่ออกแบบสินค้ายันผลิตจนได้สินค้าสำเร็จรูป..แต่พอมาเห็นหนังสือ Marketing 4.0 ของ Philip Kotler ก็ถึงบางอ้อ เพราะทั้งคู่เป็นลูกศิษย์ของ Kotler ที่ Northwestern นั่นเอง.. ดร.สุวิทย์คงเอาไอเดียมาปรับใช้เพื่ออธิบายแนวทางการพัฒนาอุต.และบริการบ้านเรา..ถึงว่านะซิ..ไม่เคยมีนักวิชาการฝรั่งคนไหนพูดทำนองนี้เลย..


ปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 4.0 ทำให้โลกเปลี่ยนอย่างไร


..ทำอย่างไร ให้เราไม่ตกยุค ?


เรื่องนี้คุยกันเยอะว่า ทั้งตัวเรา และธุรกิจต้องเปลี่ยน แต่ไม่ค่อยมีใครสรุปให้ฟังว่า เราต้องเปลี่ยนอย่างไร ..เราถึงจะรุ่ง ..ผมพอจะสรุปคร่าวๆ ให้ฟังดังนี้


ยุค 1.0 ..โลกเปลี่ยน เพราะเรามีการคิดเครื่องจักรไอน้ำ เครื่องทุ่นแรง เข้ามาเปลี่ยนทั้งการเกษตรและการผลิต ...ถ้าเราสังเกตในยุคนั้น ก็คือ จุดเริ่มต้นของรถยนต์เครื่องสันดาบภายใน มีการจุดระเบิด มีการเผาใหม้ ..มันท้าทาย คนในยุคนั้นที่ใช้รถม้า ..ว่าใช้รถยนต์ดีกว่า ซึ่งปัจจุบัน อย่างเทคโนโลยีรถยนต์กำลังถูกท้าทายอีกครั้งโดย ..การขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ที่เร็วกว่า ประสิทธิภาพสูงกว่า ...คุณลองคิดซิว่า อีกกี่ปี รถยนต์ไฟฟ้า จะมาแทน เครื่องยนต์แบบเดิม (เหมือนที่เราเคยใช้โทรศัพท์มือถือแบบอนาล็อก แล้วทุกคนในปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนเป็นดิจิตอล Smart Phone)


ใช่!! มันมาเร็วกว่าที่เราคิด ..จนเราลืมไปเลยว่า ไม่กี่ปีก่อน เรายังใช้มือถือแบบเก่ากันอยู่เลย


ยุค 2.0 ..โลกเปลี่ยนเพราะเรามีการใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Mass Production ..ยุคนั้นใครเป็นเจ้าของโรงงาน ก็รวยทุกคน ...เพราะสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ...ยุค 2.0 การผลิตเยอะๆ การมีโรงงานของตัวเองมัน work เพราะว่า ตลาดมี Demand มากกว่า Supply ...ก็สินค้าไม่ได้มีให้เลือกมาก แต่คนมีความต้องการซื้อเยอะกว่า ผลิตออกมาเถอะ เดี๋ยวมีคนซื้อ (หลังจากนั้น ทุกประเทศ เริ่มยอมรับแนวคิดของการผลิตแบบ Mass ทั้งจีน ทั้งอินเดีย ...ทุกประเทศ อยากผลิตให้มาก เพื่อตัวเองจะได้รวย)


ยุค 3.0 ..โลกเปลี่ยนเพราะคอมพิวเตอร์ มันมาช่วยให้มนุษย์สามารถทำสิ่งที่ไม่เคยทำได้ และนี่เป็นยุครุ่งเรื่องของ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ...บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการอย่าง Wal-Mart ครองโลก เพราะจัดการได้ดีกว่า ถูกกว่า


จุดสิ้นสุดของยุค 3.0 มันมาถึงตรงที่ ความต้องการของลูกค้า Demand มันเริ่มตาม Supply ไม่ทัน ...ก็ทุกบริษัทแข่งกันผลิตสินค้า จนมันเกินความต้องการของลูกค้าไปแล้ว


...ปัญหาในโลกมันเปลี่ยนเป็น สินค้ามันมีตัวเลือกมากเกินไป จนลูกค้าซื้อไม่ทัน


ผลก็คือ เจ้าของโรงงานเริ่มเครียด จากเดิมผลิตยังไงก็ขายหมด กลายเป็นเริ่มขายไม่ได้ ..สินค้าล้นโลก ..ต้นทุนเจ้าของโรงงานก็สูงขึ้น จนบางโรงงานเริ่มซวย เจ๊ง ปิดตัว ...เป็นจุดเริ่มต้นของ วิกฤตเศรษฐกิจโลก เพราะ Supply มันมากกว่า Demand


ยุค 4.0 ...โลกมันเปลี่ยนเพราะข้อมูลข่าวสารมันเปิดกว้าง ...วันนี้ผู้บริโภค และ รายย่อย รู้เท่าทันรายใหญ่ ข้อมูลมันถึงกันหมด ...จากที่รายใหญ่เคยกุมการรับรู้ กุมสื่อ กลายเป็นว่า รายย่อยวันนี้กุมสื่อแทน ...คนตัวเล็ก กับมือถือเครื่องเดียว สามารถส่งเสียงดังจนทำให้องค์กรขนาดใหญ่กลัวได้


สิ่งที่จะเกิดต่อไปในยุค 4.0 ก็คือ


- ธุรกิจต้องปรับในเรื่องต้นทุนทั้งหมด ..การมีโรงงานเป็นของตัวเองกลายเป็นเรื่องที่เหนื่อย เพราะต้นทุนสูง แถมปรับเปลี่ยนยาก ...อย่าง Apple , Nike เป็นตัวอย่าง ที่โชว์ให้เห็นว่า ไม่มีโรงงานของตัวเอง ก็เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกได้ ...หัวใจไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่เปลี่ยนมาเป็น 'การบริหารจัดการโรงงานผลิต แทนการผลิตเอง' (ทำยังไงให้ คุมโรงงานได้ โดยที่ไม่ต้องมีโรงงาน)


- คำว่า อุตสาหกรรม จะกลายเป็นสิ่งที่หมดอายุ ..เพราะต่อไป จะไม่มีเส้นแบ่งอุตสาหกรรม ...ธนาคารอาจเข้าสู่ธุรกิจอสังหา , ส่วนบริษัทอสังหา อาจเข้าสู่การท่องเที่ยวและบริการ , ค้าปลีกอาจผันตัวไปเป็น Office , ปั๊มผันตัวเป็น Lifestyle Center 24 ชั่วโมง และศูนย์กระจายสินค้า , โรงพยาบาล อาจผันตัวไปเป็น Retirement Center ...ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า ทุกธุรกิจจะมุ่งไปทำบริการ ที่ตอบโจทย์ลูกค้า เพราะ การบริการ มันกำไรกว่า การผลิต


- ทุกธุรกิจจะมีสื่อของตัวเอง เพราะการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการบริการ และการสร้าง Brand ...ใครไม่มี จะต้องผลิตและขายสินค้าที่เน้นแต่การลดราคาที่ไม่มีกำไร และตายไปในที่สุด


- แรงงานจะเปลี่ยน ..จะไม่มีลูกหม้อ (ลูกจ้างที่บริษัทจ้างงานตลอดชีวิต) แต่ลูกจ้างทุกคนจะกลายเป็นเจ้าของธุรกิจบริหารตัวเอง ...เราแต่ละคนก็เหมือนสินค้า ที่ต้องบริหาร Brand และ พัฒนาประสิทธิภาพตลอดเวลา


- อสังหาจะเริ่มเปลี่ยน ...ทำเลจะค่อยๆ หมดความสำคัญ แล้วถูกแทนด้วยการจัดส่งสินค้าที่ลูกค้าต้องการ (ทำเลทอง ไม่ใช่ที่ดินอีกต่อไป แต่เป็นการส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าในแบบที่เขาต้องการ)


- บริษัทเดิมทีเคยคิดแต่เรื่อง ดูแลลูกค้า ..ต่อไป พนักงาน ก็ต้องบริหารเหมือนบริหารลูกค้า


- ธุรกิจจะเปลี่ยนเป็น Service ที่ต้องเปิด 24 ชั่วโมง


สรุปคร่าวๆ ก็คือ

1. ลูกค้า จะเสียงดังกว่า ธุรกิจ ..ใครทำให้ลูกค้ารักแล้วช่วยบอกต่อไม่ได้ ตายลูกเดียว

2. พนักงาน จะไม่ใช่ของตาย ..ต้องบริหารพนักงาน เสมือนเขาเป็นลูกค้าของบริษัท ...ถ้าพนักงานรู้สึกดี ลูกค้าก็จะรู้สึกดีตาม เพราะเขาอยู่ติดกับลูกค้า

3. จะไม่มีสินค้าที่ขายดีตลอดไป ..ต้องพัฒนาตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

4. สินทรัพย์ของบริษัท จะไม่ใช่โรงงาน ไม่ใช่ทำเลการค้า แต่เป็น Brand และ Trust ที่สร้างกับลูกค้าโดยตรง

สงครามเย็นในธุรกิจกำลังเริ่มขึ้น แล้วมันจะกินเวลายาวนาน

ถ้าใครขายสินค้าเดิม ทำแบบเดิม รายได้คุณจะค่อยๆ ลดลง ประมาณ 50% ภายใน 2 ปี

ผู้ที่อยู่รอด ในยุค 4.0 คือ ผู้ที่เอาประโยชน์ของลูกค้าเป็นที่ตั้ง


...ส่วนผู้ที่รุ่งเรืองในยุค 4.0 ก็คือ ผู้ที่เอาทั้งประโยชน์ของลูกค้าและทั้งพนักงานเป็นที่ตั้ง

คนทันสมัยกำลังไป ยุค 5.0 - 6.0 แล้ว คือ คนที่กำลังใช้ระบบการเงินดิจิตอลคู่กับเทคโนปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 4.0 ทำให้โลกเปลี่ยนอย่างไร?

Credit..FB: Pornchai Chongpakdee

Powered by MakeWebEasy.com