มันคือสัจธรรมของชีวิต..

Last updated: 19 ก.ย. 2560  |  779 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มันคือสัจธรรมของชีวิต..

เมื่อก่อนใคร ๆ ก็มองว่า ทายาทเจ้าของร้านเพชรชื่อดังอย่างผมเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ และไม่จริงจังกับใคร ในเวลานั้นอย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่คิดว่า อีกไม่กี่ปีต่อมามุมมองและความรู้สึก เรื่อง “ความสุข” ของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ผมเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่อบอุ่น จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่ดีจากต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมขออนุญาตคุณพ่อว่า จะยังไม่รับช่วงต่อธุรกิจร้านเพชรและธุรกิจอื่น ๆ ของที่บ้านเพราะอยากหางานทำด้วยตัวเองก่อน ไม่นานผมได้ทำงานที่บริษัทจัดการกองทุนของธนาคารแห่งหนึ่ง ผมทุ่มเททำงานอย่างหนัก จนเป็นพนักงานที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของบริษัท แม้จะออกจากบริษัทมาแล้ว เจ้านายเก่าถึงกับเอ่ยปากว่า ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ผมแล้วมีผลงานอย่างที่ผมเคยทำเอาไว้ได้อีกเลย ส่วนเงินเดือนที่ได้ก็เป็นจำนวนมากจน

น่าตกใจ ในขณะที่อายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ผมจึงรู้สึกภาคภูมิใจและทะนงตนมาก หลังเลิกงานผมใช้ชีวิตสนุกอย่างเต็มที่ ทั้งปาร์ตี้สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ออกไปแข่งรถหรือมอเตอร์ไซค์คันโปรด รวมถึงออกงานสังคมแทบทุกงาน คติประจำใจของผมในขณะนั้นคือ ใช้ชีวิตให้เต็มที่เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่ได้

คิดถึงอนาคตเลย

ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้แต่งงานกับคุณฝน (คุณณวิภา มัสยวาณิช เอี่ยม-

อมรพันธ์) เธอเป็นผู้หญิงเก่ง มาจากครอบครัวที่ดี แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเกินจำเป็น แต่ก็ไม่ถึงกับกระเบียดกระเสียร ผมจึงเริ่มฉุกคิดและได้เรียนรู้จากภรรยาหลังจากที่เราใช้ชีวิตร่วมกัน

จุดเปลี่ยนที่สองคือ การบวช ผมมีโอกาสได้บวชที่วัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี (ใกล้ชายแดนพม่า)อยู่อย่างสมถะ นอนปักกลดผูกมุ้ง ได้พบกับน้ำจิตน้ำใจของชาวบ้านที่นั่น ทำให้ผม

เริ่มพบกับความสุขทางธรรมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ส่วนจุดเปลี่ยนสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่คือ เมื่อลูกสาววัยสองขวบป่วยเป็นโรคปอดอย่างรุนแรง หลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดเพียงสามวัน คุณหมอบอกว่าแบคทีเรียเข้าไปทำลายปอดของลูกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสรอดชีวิตเพียง 5 เปอร์-เซ็นต์เท่านั้น อาการที่ทรุดลงเรื่อย ๆ ทำให้ภรรยา รวมถึงญาติผู้ใหญ่หลายคนเริ่ม

ถอดใจ แต่ผมกลับรู้สึกว่า จะยอมแพ้ไม่ได้ และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก!

ผมติดต่อเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ต่างประเทศ จนมีโอกาสได้ปรึกษากับผู้บริหารขององค์การอนามัยโลก (WHO) ต่อมา อาจารย์ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ และทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีทราบเรื่อง จึงรับปากว่าจะช่วยดูแลลูกให้ ลูกถูกนำตัวเข้าห้องไอซียูทันทีที่ไปถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี หมอรีบต่อเครื่องช่วยหายใจแบบพิเศษซึ่งมีเพียงไม่กี่เครื่องในประเทศไทย เอาไว้ใช้สำหรับคนไข้ที่ไม่สามารถควบคุมลมหายใจของตัวเองได้แล้วและอยู่ในขั้นโคม่า หมอฉีดยาให้ลูกสลบเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม เพราะหากเขารู้สึกตัวจะหายใจแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ปอดขยายและฉีกขาดจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ เวลานั้นทุกวันของผมคือการเฝ้าดูอาการของลูก ดูแลจิตใจภรรยา และที่สำคัญ ผมบอกตัวเองว่าต้องตั้งสติไว้ให้ได้

ลูกผมอยู่โรงพยาบาลเกือบสี่เดือน ต้องเรียกว่าปาฏิหาริย์ เพราะเขาหายและกลับมาเป็นเด็กที่แข็งแรงอีกครั้ง ผมได้แต่ขอบคุณคุณหมอซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ทุกวันเกิดของลูก ผมจะพาเขาไปบริจาคเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์การแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทุกปี

วันนี้ผมกล้าพูดอย่างเต็มปากเลยว่า ความสุขของผมไม่ใช่การไปปาร์ตี้ท่ามกลางแสงสี ใช้เงินมือเติบ หรือแม้แต่ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงอย่างการแข่งรถหรือมอเตอร์ไซค์

แต่อย่างใด

ความสุขของผมทุกวันนี้คือ การได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่หลงใหลในสิ่งที่ปรุงแต่ง ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของ

พระพุทธเจ้าอย่างจริงจังมากกว่าที่เคย และที่สำคัญที่สุด ผมมีเวลาได้อยู่กับครอบครัวที่ผมรักสุดดวงใจอย่างเต็มที่


ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มีลาภ - เสื่อมลาภ มียศ - เสื่อมยศ มีสุข - มีทุกข์ การดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญาคือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง


ขอขอบคุณ...Secret BOX

เรียบเรียงโดย...คุณธนพ เอี่ยมอมรพันธ์

Powered by MakeWebEasy.com