ฉันทำผิดอะไร ถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ ?”

Last updated: 24 ก.ค. 2560  |  662 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ฉันทำผิดอะไร ถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ ?”

หญิงชราวัย ๗๕ ตัดพ้อกับหลวงพ่อที่เธอเคารพนับถือ

หญิงชราผู้นี้จัดว่าเป็นผู้หญิงเก่ง ธุรกิจของเธอประสบความสำเร็จ สร้างความร่ำรวยให้แก่เธออย่างรวดเร็ว แต่แม้อายุล่วงเลยมาถึงปานนี้แล้ว เธอก็ยังคงคร่ำเคร่งกับงาน ทั้ง ๆ ที่ลูกทุกคนขอร้องให้วางมือเสียที อันที่จริงเธอไม่มีภาระใด ๆ ที่ต้องเป็นห่วงเลย ลูกทั้งห้าของเธอล้วนเจริญก้าวหน้าในการงาน มีฐานะดีกันทั้งนั้น หลาน ๆ ก็น่ารักทุกคน เธอมีทุกอย่างที่ใคร ๆ ปรารถนา ยกเว้นอย่างเดียวคือสุขภาพ เธอเป็นโรคพาร์คินสันมาได้ ๕ ปีแล้ว ทุกวันนี้ต้องนั่งรถเข็น พูดไม่ถนัด มือสั่นเกือบตลอดเวลา สร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอมาก เธอเฝ้าแต่ถามตนเองว่า เธอทำผิดอะไร ทำไมจึงเจอเคราะห์กรรมแบบนี้ อดคิดไม่ได้ถึงบาปกรรมที่เคยทำในอดีตชาติ

“ผิดแน่นอน” หลวงพ่อตอบ “โยมผิดที่ไม่ยอมฟังคำเตือนของร่างกาย ก่อนที่โยมจะป่วยเพราะโรคพาร์คินสัน ร่างกายเขาเตือนโยมมาเป็นปี ๆ แล้วว่า ‘หยุดพักบ้าง ฉันเหนื่อยเต็มที’ แต่โยมก็ไม่ฟัง ยังทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ถึงเวลาพักผ่อน โยมก็ยังหมกมุ่นงาน ไม่ปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนเลย ก่อนหน้านี้โยมคงป่วยด้วยโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นคือสัญญาณเตือนของร่างกายที่ส่งเสียงดังขึ้น แต่โยมก็ไม่ฟังอีก พอหายป่วยก็โหมงานอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โยมไม่ฟังเสียงเตือนของร่างกาย ในที่สุดจึงเป็นโรคพาร์คินสัน ที่จริงนี้เป็นคำเตือนอีกระลอกหนึ่งของร่างกาย หากโยมยังดื้อดึง ต่อไปก็จะเจอหนักกว่านี้”

“โยมรู้ไหมว่า ตอนนี้โยมไม่ได้ป่วยกายเท่านั้น แต่ป่วยใจด้วย” หลวงพ่อพูดต่อ “ที่จริงป่วยกายแล้ว ไม่ป่วยใจก็ได้ แต่น้ำเสียงและสีหน้าของโยมบ่งบอกว่าโยมป่วยทั้งกาย ป่วยทั้งใจ และสาเหตุที่โยมป่วยใจก็เพราะทำผิดอีกข้อหนึ่ง นั่นคือไปยึดมั่นในร่างกายนี้”

“หมายความว่าอย่างไร ?” หญิงชราสงสัย

“โยมยึดมั่นในร่างกายนี้ว่ามันต้องเที่ยง ต้องเป็นสุข เคยมีสุขภาพดีอย่างไร ก็ต้องมีสุขภาพดีอย่างนั้นไปตลอด โยมรู้ไหมว่าความคาดหวังของโยมสวนทางกับความจริง เพราะจริง ๆ แล้วไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ร่างกายนี้ในที่สุดก็ต้องแก่และเจ็บป่วย แต่เนื่องจากโยมวางใจผิด ไม่สอดคล้องกับความจริง โยมจึงทุกข์ใจมากเมื่อร่างกายเจ็บป่วย”

หญิงชรามีสีหน้าครุ่นคิด เธอสงสัยมาตลอดว่าเธอทำกรรมอะไรในชาติที่แล้วหรือ ชาตินี้จึงล้มป่วยแบบนี้ แต่คำอธิบายของหลวงพ่อ เป็นสิ่งเธอไม่เคยคิดมาก่อน และเถียงได้ยากเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

“โยมคงสงสัยด้วยใช่ไหมว่า โยมทำดีมาตลอด บุญก็ทำเป็นนิจ ทำไมจึงมาเจอเคราะห์กรรมแบบนี้” หลวงพ่อถามเหมือนจะรู้ใจหญิงชรา

“โยมคิดว่าโยมเป็นคนโชคร้ายที่มาล้มป่วยแบบนี้ แต่นั่นเป็นเพราะโยมมองเห็นแต่ด้านลบ ชีวิตของโยมทุกวันนี้เต็มไปด้วยสิ่งดี ๆ มากมาย เช่น มีฐานะร่ำรวย กินอิ่มนอนอุ่น ลูกทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครล้มหายตายจาก หรือล้มป่วยด้วยโรคร้าย เป็นคนดีทุกคน การงานก็มั่นคง ไม่ทำอะไรให้โยมเดือดเนื้อร้อนใจ สามีโยมก็ยังอยู่ โยมอยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไปมาแล้วทั้งนั้น ถ้าสิ่งดี ๆ ในชีวิตมี ๑๐ อย่าง โยมก็ได้มา ๙ อย่างแล้ว ขาดอย่างเดียวคือ สุขภาพดี ถ้าชีวิตของโยมเปรียบกับการสอบ คะแนนเต็ม ๑๐๐ โยมก็สอบได้ ๙๐ คะแนน ชีวิตอย่างนี้ไม่น่าพอใจอีกหรือ”

หลวงพ่อมองหน้าหญิงชรา ก่อนจะพูดต่อ “สมัยที่โยมเรียนหนังสือ ถ้าโยมสอบได้ ๘๐% โยมก็พอใจแล้วใช่ไหม นี่โยมสอบได้ถึง ๙๐% ทำไมจึงเสียใจ เป็นเพราะโยมมัวเป็นทุกข์กับ ๑๐ คะแนนที่หายไปใช่ไหม อย่าลืมว่าข้อสอบวิชาชีวิตนั้น ไม่มีใครที่สอบได้ ๑๐๐% หรอก ชีวิตนี้ไม่มีใครที่ได้สมปรารถนาในทุกเรื่อง สิ่งสำคัญก็คือ ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ อย่ามัวหมกมุ่นกับสิ่งที่หายไป”

หญิงชราเริ่มยิ้มได้ เธอเพิ่งตระหนักว่าที่จริงเธอเป็นคนโชคดีมาก แต่เพราะมองไม่เป็น จึงเห็นแต่ทุกข์ คำพูดของหลวงพ่อทำให้เธอได้คิด จากนี้ไปเธอต้องวางใจให้ถูก รวมทั้งรู้จักวางงานลงบ้าง ให้กายและใจได้พักผ่อนจริง ๆ เสียที

“ขอบคุณหลวงพ่อมาก” หญิงชรากล่าวก่อนที่จะลากลับบ้าน



(ข้อธรรม-คำสอน : พระไพศาล วิสาโล)

Powered by MakeWebEasy.com