การรู้จักความตาย เป็นสิ่งสุดยอดของมนุษย์ที่บรรลุแล้วซึ่งความสุข

Last updated: 30 ม.ค. 2560  |  551 จำนวนผู้เข้าชม  | 

การรู้จักความตาย เป็นสิ่งสุดยอดของมนุษย์ที่บรรลุแล้วซึ่งความสุข........,,,,กำลังรอคอยวันนั้นให้มาถึง,,,???......

แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป

................................................

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปี ที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนัก รักใคร่เสมือนญาติ

ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วัน เขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถว เลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา

งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุด เท่าที่ผมเคยไปฟังสวด

วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง อีกคนเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบ และคนสุดท้ายเป็นหญิง ที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น

ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่า เสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึก ตั้งแต่สวดคืนแรก

จริงๆ แล้ว ผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จนเกษียณอายุในตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน แม้กระทั่งวันตาย

ผมสนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็ก อยากเป็นนักประพันธ์ แบบ "ไม้ เมืองเดิม" ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอ และวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้

เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าว ก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุย กับเขาตามวาระโอกาส ตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต

วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมย ยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุด ราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หาย เป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็น สำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"

เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้ มากมาย เป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร"

คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข...

ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เก๊าต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชาย ขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้

6 เดือน สุดท้ายของชีวิต ต้องนอนโรงพยาบาล สามวัน นอนบ้านสี่วัน สลับกันไป

เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูก รวมทั้งผมด้วย ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาทีที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตา ไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"

พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่า ทำไมคุยแต่เรื่องตลก

เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลัง ใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"

เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คน ไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้ หรืออยู่บนรถแท็กซี่ บ่อยครั้งที่นั่งรถ ถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์

4 เดือนสุดท้ายของชีวิต แพทย์ที่รักษาโรคไตมา ตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรง แล้วค่อยกลับบ้าน

แต่อยู่ได้แค่ 4 วัน เขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปี ไม่ยอม

เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่า คนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงาน หมอก็กลับบ้าน"

หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจ ตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะ ของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียว คือ กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่า สมองของเขายังดีมาก

เวลาลูกเมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า "ถ้าได้ยิน พ่อกะพริบตาสองที"

เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง!

เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่า ถูกขังในร่างของตนเอง

สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"

เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือน เคยตอบว่า "สู้"

เขาสู้กับสารพัดโรค ด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"

ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูก เมื่อสี่เดือนก่อนว่า "โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจ ของเราไปด้วย"

แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป สอนให้เรารู้ว่า…

เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรายังทำอะไรๆได้ อย่างที่สมองสั่ง

จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ

หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด…อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป

ถ้าเราเรียนรู้…ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม

-พิษณุ นิลกลัด-

Powered by MakeWebEasy.com