คุณเตรียมตัวตายหรือยัง...

Last updated: 7 มิ.ย. 2560  |  531 จำนวนผู้เข้าชม  | 

คุณเตรียมตัวตายหรือยัง...

นักร้อง แพร์รี โคโม (Perry Como) ตายเมื่ออายุ 88 ที่บ้านของเขา มันเป็นคืนวันศุกร์ ตอนเย็นเขานั่งกินไอศกรีมกับลูกสาวและหลานชาย คุยกันสบายๆ อยู่สองชั่วโมง แล้วเข้านอน ตายอย่างสงบตอนนอนหลับ

ลูกสาวของเขาบอกว่า มันเป็นสองชั่วโมงแห่งความสงบสุข กินไอศกรีม คุยกัน แล้วก็บาย-บาย!

มีใครสักกี่คนในโลกที่สามารถตายง่ายๆ สะอาดๆ อย่างนี้?

ผมเคยได้ยินเรื่องของคนที่ถือศีลทำสมาธิ มีสติติดตัวตลอดเวลา ยามใกล้ตายก็นอนท่าสบายๆ ลูกหลานรอบตัว แล้วกำหนดสติตามลมหายใจ บอกลูกหลานว่าความตายเริ่มจากเท้าแล้ว กำลังไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จิตตามทันตลอด เมื่อมันมาถึงกลางลำตัว ก็หมดลมอย่างสงบ ไม่มีความทุกข์ทรมานใดๆ เพราะจิตต้อนรับความตายไว้อย่างดี

ความตายเป็นกระบวนการหนึ่งของธรรมชาติแห่งชีวิต มันก็คือการนอนหลับนั่นเอง เพียงแต่หลับแล้วไม่ตื่นอีก ดังนั้นโดยทฤษฎีจึงไม่มีอะไรต้องกลัว

ที่เรากลัวกันก็คือช่วงเวลาก่อนตายมากกว่าตอนตายจริงๆ

โลกปลูกฝังภาพของความตายคือความทุกข์ ทั้งที่จริงๆ ความตายน่าจะคือการพ้นทุกข์ โลกสร้างภาพว่าความตายคือความโศกเศร้า เพราะความตายมักเดินทางมาพร้อมกับเสียงร้องไห้และชุดดำ แต่หากเราสามารถหลุดพ้นจากภาระบนโลก ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องโศกเศร้า มิใช่หรือ?

.………………..

ผมรักสายฝน และรู้สึกสงบทุกครั้งที่ฝนตก ผมอยากจากโลกไปตอนฝนตกพรำๆ หากได้กินไอศกรีมตอนฝนตกก่อนเซย์บาย-บายด้วยก็ถือว่าเป็นโชคสองชั้น

ทว่าดูจากสภาพร่างกายของตัวเองที่โรคภัยมาเยือนบ่อยขึ้น อวัยวะหลายชิ้นประพฤติตัวไม่ดี ดูท่าไม่น่าจะได้กินไอศกรีมก่อนสิ้นลมอย่าง แพร์รี โคโม มีสิทธิ์นอนตายในโรงพยาบาล สายระโยงระยางเต็มตัวเป็นแน่แท้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราเลือกไม่ได้ ธรรมชาติทำงานของมันโดยที่เราบังคับไม่ได้ มีปัจจัยและตัวแปรมากมายเป็นล้านๆ อย่างที่ทำให้บทสุดท้ายของแต่ละชีวิตเป็นอย่างที่จะเป็น

สังคมยิ่งซับซ้อนขึ้น เราอาจไม่สามารถตายเงียบๆ เหมือนชาวบ้านชาวป่าโบราณ ซึ่งเมื่อป่วยหนักก็นอนรอความตายในกระต๊อบ

แต่ไม่ว่าจะตายแบบใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะตายอย่างไร เราทุกคนก็จะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ของเวลาในโลกที่ไร้ความทรงจำ

ตรงนี้เองที่การเรียนรู้เรื่องจักรวาลวิทยาทำให้มองเห็นภาพความตายต่างออกไป นั่นคือมองว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ไม่ใช่จุดเริ่มต้น มันคือท่อนหนึ่งของการแปลงลักษณ์ (transformation) ของสรรพสิ่งเท่านั้น ทุกอะตอมที่ประกอบเป็นตัวเราไม่ได้หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนรูปแปรเปลือกเท่านั้น

เมื่อมองอย่างนี้ก็จะเห็นว่าความตายไม่น่ากลัว เพราะมันไม่เคยมีความตาย มีแต่การเปลี่ยนรูป จะว่าไปแล้ว เราอยู่มาตั้งแต่เกิด บิ๊ก แบง ด้วยซ้ำ เราทุกคนเป็นอมตะมาแต่ไหนแต่ไร เราไม่เคยตายมาก่อน เราอยู่ในจักรวาลอาจชั่วนิรันดร์

ความตายเป็นบทจบในรูปมนุษย์ และบทเร่ิมต้นของรูปใหม่ เช่นที่เมื่อเราต้มน้ำให้เดือด มันจะกลายเป็นไอลอยหายไป น้ำไม่ได้หาย มันเพียงเปลี่ยนรูป ชีวิตก็เช่นกัน

เรายังมีการผจญภัยอีกยาวนานในจักรวาลหลังจากอะตอมของเราหลุดพ้นจากกายมนุษย์!

ดังนั้นวิธีการตายไม่สำคัญ สำคัญที่วิธีการอยู่ เพราะความตายเป็นแค่ท่อนหนึ่งของละครแห่งชีวิต

.………………..

เราอาจเลือกวิธีตายไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกกระบวนการจากไปอย่างสวยงามได้

หากดำเนินชีวิตตามวิถีพุทธ เราอาจสามารถจะเลือกตายแบบ ‘ตายก่อนตาย’

ตายแรกคือตายจากมายาของความทุกข์ อยู่เหนือทุกข์ เหนือโลก ตายจากความไม่รู้ ตายจากการยึดติดทั้งหลายที่ก่อให้เกิดทุกข์

ตายที่สองคือการละสังขาร สิ้นลมหายใจ

หากสามารถตายอย่างแรกได้เร็วเท่าไร ชีวิตที่เหลือก็เป็นโบนัสที่ยาวขึ้นเท่านั้น

ยิ่งมีข้อแม้ในชีวิตน้อย ก็ยิ่งปล่อยวางเรื่องความตายได้ง่ายกว่า

ยิ่งใช้ชีวิตเรียบง่าย ก็ยิ่ง ‘ตายดี’ ได้ง่าย

ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือศาสนาใด ก็สามารถตายก่อนตายแบบนี้ได้

เราจะไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเราตาย ดังนั้นจะว่าไปแล้ว เรามีเรื่องเดียวที่ควรเป็นห่วงคือ การมีชีวิตอยู่

อยู่อย่างไรต่างหากที่สำคัญกว่า และส่วนหนึ่งของการมีชีวิตที่ดีก็คือการรู้จักตายให้เป็น

.………………..

วินทร์ เลียววาริณ

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/

Powered by MakeWebEasy.com